วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

วิธีจับโกหก


คนโกหกมีเยอะ ดูวิธีอ่านสีหน้าคนเพื่อตรวจจับคนโกหก


  • ยิ้มปลอม.. คนโกหกมักใช้กล้ามเนื้อบริเวณรอบปากฝืนยิ้ม
  • ยิ้มของจริงจะเห็นฟันนิดนึง ตาจะย่นหยีหน่อย บางคน มีตีนกาด้วย (ระวัง ตอแหลมืออาชีพฝืนทำตาหยีได้)
  • ดูมือ แขน คนโกหกมักจะเกร็งๆ หลบฝ่ามือ เกาจมูก ถูหลังหู เกาหัว
  • คนโกหก มักเหงื่อแตก
  • ขี้โม้ชอบเล่ามากเกินไป ชอบยกรายละเอียดที่ไม่ค่อยจะเกี่ยวมาเล่าให้ฟังมากๆ สร้างภาพให้เกิดความน่าเชื่อถือ
  • ดูลูกตา คนโกหกไม่สบตา กระพริบตาถี่
  • ถ้าเจอคำถามจี้ใจดำ คนโกหกจะอึดอัด หันตัว เบือนหน้าหนี .. คนพูดจริงจะรุกกลับอย่างดุเดือด ในขณะที่คนโกหกจะ จะปกป้องตัวเอง หรือ ตอบเลี่ยงๆ
  • คนโกหก ชอบเอาคำพูดของคู่สนทนามาพูดซ้ำ
  • พูดต่อกันยาวๆ เละเทะ ไม่เป็นประโยค ฟังไม่รู้เรื่อง นั่นแหละตอแหล
  • เล่นมุขตลก หลอกลวงไปเรื่อย
เทคนิกจับคนโหก
  1. ระหว่างคุยด้วย ลองแกล้งทำเป็นเงียบ รอดูอาการ คนโหกจะอึดอัด
  2. ลองเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างรวดเร็ว คนทั่วไปจะเกิดอาการงง เหมือนเน็ตหลุด แต่จะวกกลับมาคุยเรื่องเดิม ขณะที่คนโกหก จะรู้สึกสบายใจ แล้วจะต่อเรื่องใหม่อย่างทันควัน ไม่วกกลับมาเรื่องเก่าอีก
ว่างๆ ทดลองฝึกกับนักการเมืองที่ชอบพูดออกทีวีก็ได้ ตรวจสอบง่ายด้วย คนโกหกพูดผ่านไปเป็นปีแล้วยังไม่ทำตามที่พูด ชอบหลบหน้า ไม่กล้ากลับไปเจอคนที่หลอกสัญญาเค้าไว้

อาหารช่วยแก้ง่วง


ยามบ่าย กินข้าวกิน อยากนอน ทำยังไงดี ของีบซัก 5 นาที ก็กลัวเจ้านายบ่น มาหาของกินแก้ง่วงติดไว้ที่โต๊ะทำงานกันดีกว่า ค่ะ


  1. ผักผลไม้อุดมวิตามินซี ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม บร็อคโคลี ช่วยต้านความเหนื่อยล้าที่มาจากความเครียดและกังวล
  2. ผลไม้ที่มีโครเมียม ได้แก่ แอปเปิล กล้วย มันฝรั่ง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย
  3. เมล็ดพืชมากคุณค่า ได้แก่ งา ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ) และจมูกข้าวสาลี ซึ่งมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ช่วยบำรุงประสาทและช่วยให้จิตใจแจ่มใส สดชื่น
  4. ไขมันดีๆ จากปลา เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เสริมโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า-3 ให้แก่ร่างกาย และยังช่วยทำให้สมาธิและความจดจำดีขึ้น
ลองทำตามคำแนะนำที่นำมาฝากกันนะคะ

หลากหลายคุณประโยชน์จากกะหล่ำปลีม่วง





กะหล่ำปลีม่วงที่มีสีสันสดใสชวนกิน ซึ่งมักพบบ่อยในจานสลัด หรืออาจกลายมาเป็นของประดับในอาหารจานอื่น แต่ใครจะรู้บ้างว่ากะหล่ำปลีสีสวยนี้จะมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเราเป็น อย่างมาก 

          เนื่องจากกะหล่ำปลีม่วงเป็นพืชที่มีใยอาหารสูงและล้วนอุดมไปด้วยสารอาหาร หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต โซเดียม และวิตามินซี นอกจากนี้การกินกะหล่ำปลีม่วงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่และโรคมะเร็งในช่องท้องได้ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกลบินซึ่งเป็นส่วน สำคัญที่ทำให้มีเม็ดเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย

          อย่างไรก็ตามในแต่ละวันเราไม่ควรกินกะหล่ำปลีดิบมากเกิน 1-2 กิโลกรัม เพราะถ้ามีสาร Goitrogen จากกะหล่ำปลีสะสมในร่างกายมากเกินไป อาจส่งผลให้ต่อมไทรอยด์นำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อยลง แต่สารนี้จะหายไปเมื่อกะหล่ำปลีนั้นสุกแล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

4 วิธีในการแก้ปัญหาความจำหลงๆลืมๆ

ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้นบางครั้งอาจทำให้เริ่มหลงๆลืมๆไปบ้าง ปัญหานี้บรรเทาได้ด้วยเทคนิค 4ข้อ เกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพนี้เพื่อสำหรับในวัยที่กำลังทำงานก็ดี ที่จะไม่ลืมส่งงาน ลืมนู่นลืมนี่ หรือจะเป็นวัยเรียนของน้องๆก็ได้นะคะ เวลาทำข้อสอบและต้องใช้ความจำซะส่วนใหญ่ นี่เป็นเกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพในการช่วยจำ ที่ดิฉันอยากจะเอามานำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้ลองนำเอาไปใช้ดูค่ะ เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ ^^



วิธีแรกโฟกัสสายตา โดยวิธีการคือ ให้ฝึกนั่งจ้องวัตถุ หรือ เหตุการณ์ตรงหน้า จดจำรายละเอียดให้มากที่สุด นานประมาณ 3 นาที จากนั้น ละสายตา แล้ววาดสิ่งที่เห็นบนกระดาษ เมื่อเสร็จตรวจดูว่ามีสิ่งใดตกหล่นไปหรือไม่ ฝึกสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาความจำระยะสั้น บริหารสมอง และเสริมประสิทธิภาพความจำด้านสายตา เช่น เอาสิ่งของมาซัก10ชิ้น แล้วห่อผ้าไว้ แล้วเปิดออกมาซัก10 วินาที แล้วก้อพูดหรือเขียนออกมา เป็นการฝึกความจำได้อีกวิธีนึงเลยค่ะ

วิธีที่ 2 วิธีต่อมา รับประทานอาหารที่ช่วยในเรื่องความจำ แนะนำให้เป็นอาหารที่อุดมวิตามินซี, อี และเบต้าแคโรทีน โดยเฉพาะส้ม องุ่น เบอร์รี ผักสีเขียว ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองเสื่อม ทั้งนี้ ผลวิจัยในต่างประเทศพบว่า ผู้บริโภควิตามินซีสูง มีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุดด้วยค่ะ

ตามด้วยวิธีที่ 3 การทำกิจกรรมที่ช่วยให้เรามีทักษะใหม่ๆอยู่เสมอ เช่นกิจกรรมที่ท้าทายความคิด เมื่ออายุเริ่มเข้าเลขสาม สมองจะเริ่มทำงานช้าลง ดังนั้น ควรหางานอดิเรกยามว่างที่สนุกสนานทำ เช่น เต้นแทงโก้ เรียนภาษาใหม่ ต่อจิ๊กซอว์ เกมส์ปริศนาอักษรไขว้ เล่นปิงปอง เป็นต้น ช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของสมอง และความจำได้ดี แต่อย่าพยายามไปหากิจกรรมอะไรที่ทำแล้วให้เครียดมากกว่านี้นะคะ เดี๋ยวมันจะไปกันใหญ่ค่ะ

วิธีสุดท้าย คือการนอนหลับพักผ่อนให้ เพียงพอ และกินอาหารให้ครย 5 หมู่ค่ะ เวลาในการนอนอย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้ และความจำ และทารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและสมองนะคะ ขอบคุณค่ะ



ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ประวัติของคอมพิวเตอร์


ประวัติของคอมพิวเตอร์




ช่วงปี ค.ศ. 1930 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1940 เป็นช่วงที่โลกได้มีคอมพิวเตอร์ที่สามารถโปรแกรมได้และคำนวณผลลัพธ์ได้มีประสิทธิภาพจริง แต่เป็นการยากที่จะตัดสินได้ว่าคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกENIAC (Electronics Numerical Integrator and Computer) เกิดขึ้นในปี1946 และประดิษฐ์โดยจอห์น ดับลิว มอชลีย์ (John W. Mauchly) และ เจ เพรสเพอร์ เอคเกิรต (J. Prespern Eckert) ทำงานโดยใช้หลอดสุญญากาศจำนวน 18,000 หลอด มีน้ำหนัก 30 ตัน ใช้เนื้อที่ห้อง 15,000 ตารางฟุต เวลาทำงานต้องใช้กำลังไฟถึง 140 กิโลวัตต์ คำนวณในระบบเลขฐานสิบ

  • ค.ศ. 1941 เป็นครั้งแรกที่โลกได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถตั้งโปรแกรมได้อย่างอิสระ ผู้พัฒนาคือ Konrad Zuse และชื่อคอมพิวเตอร์คือ Z1 Computer
  • ค.ศ. 1941 จอห์น อตานาซอฟฟ์ และ คลิฟฟอร์ด เบอร์รี ที่ มหาวิทยาลัยไอโอวาสเตต ได้ร่วมกันสร้าง คอมพิวเตอร์ อตานาซอฟฟ์-เบอร์รี ซึ่งสามารถประมวลผลเลขฐานสอง
  • ค.ศ. 1944 John Presper Eckert และ John W. Mauchly ได้ร่วมกันสร้างอีนิแอก ซึ่งใช้หลอดสูญญากาศจำนวน 20,000 หลอด เพื่อสร้างหน่วยประมวลผล และถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยมีการประมวลผลแบบทศนิยม โดยหากต้องการตั้งโปรแกรมจะต้องต่อสายเชื่อมต่อเครื่องอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด
  • ค.ศ. 1948 Frederic Williams และ Tom Kilburn สร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ หลอดรังสีคาโทด เป็นหน่วยความจำ
  • ค.ศ. 1947 ถึง 1948 John Bardeen, Walter Brattain และ Wiliam Shockley สร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทราสซิสเตอร์ ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ
  • ค.ศ. 1951 John Presper Eckert และ John W. Mauchly ได้พัฒนา UNIVAC Computer ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการขาย
  • ค.ศ. 1953 ไอบีเอ็ม (IBM) ออกจำหน่าย EDPM เป็นครั้งแรก และเป็นก้าวแรกของไอบีเอ็มในธุรกิจคอมพิวเตอร์
  • ค.ศ. 1954 John Backus และ IBM ร่วมกันสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ชื่อ FORTRAN ซึ่งเป็นภาษาระดับสูง (high level programming language) ภาษาแรกในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์
  • ค.ศ. 1955 (ใช้จริง ค.ศ. 1959) สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด, ธนาคารแห่งชาติอเมริกา, และ บริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก ร่วมกันสร้าง ERMA และ MICR ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในธุรกิจธนาคาร
  • ค.ศ. 1958 Jack Kilby และ Robert Noyce เป็นผู้สร้าง Integrated Circuit หรือ ชิป(Chip) เป็นครั้งแรก
  • ค.ศ. 1962 สตีฟ รัสเซลล์ และ เอ็มไอที ได้พัฒนาเกมคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรกของโลกชื่อว่า “Spacewar”
  • ค.ศ. 1964 Douglas Engelbart เป็นผู้ประดิษฐ์เมาส์ และ ระบบปฏิบัติการแบบวินโดวส์
  • ค.ศ. 1969 เป็นปีที่กำเนิด ARPAnet ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต
  • ค.ศ. 1970 อินเทล] พัฒนาหน่วยความจำชั่วคราวของคอมพิวเตอร์หรือ RAM เป็นครั้งแรก
  • ค.ศ. 1971 Faggin, Hoff และ Mazor พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกให้อินเทล (Intel)
  • ค.ศ. 1971 Alan Shugart และ IBM พัฒนา ฟลอปปี้ดิสก์ เป็นครั้งแรก
  • ค.ศ. 1973 Robert Metcalfe และ Xerox ได้พัฒนาระบบอีเทอร์เน็ต (Ethernet) สำหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
  • ค.ศ. 1974 ถึง ค.ศ. 1975 Scelbi และ Mark-8 Altair และ IBM ร่วมกันวางจำหน่ายคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้รายย่อยเป็นครั้งแรก
  • ค.ศ. 1976 ถึง ค.ศ. 1977 ถือกำเนิด Apple I, II และ TRS-80 และ Commodore Pet Computers ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกๆ ของโลก
  • ค.ศ. 1981 ไมโครซอฟท์ วางจำหนาย MS-DOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมที่สุดในช่วงนั้น
  • ค.ศ. 1983 บริษัทแอปเปิล ออกคอมพิวเตอร์รุ่น Apple Lisa ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ใช้ระบบ GUI
  • ค.ศ. 1984 บริษัทแอปเปิล วางจำหน่ายคอมพิวเตอร์รุ่น แอปเปิล แมคอินทอช ซึ่งทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์อย่างกว้างขวาง
  • ค.ศ. 1985 ไมโครซอฟท์ วางจำหน่าย ไมโครซอฟท์ วินโดวส์ เป็นครั้งแรก