วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556
วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556
วิธีจับโกหก
คนโกหกมีเยอะ ดูวิธีอ่านสีหน้าคนเพื่อตรวจจับคนโกหก
- ยิ้มปลอม.. คนโกหกมักใช้กล้ามเนื้อบริเวณรอบปากฝืนยิ้ม
- ยิ้มของจริงจะเห็นฟันนิดนึง ตาจะย่นหยีหน่อย บางคน มีตีนกาด้วย (ระวัง ตอแหลมืออาชีพฝืนทำตาหยีได้)
- ดูมือ แขน คนโกหกมักจะเกร็งๆ หลบฝ่ามือ เกาจมูก ถูหลังหู เกาหัว
- คนโกหก มักเหงื่อแตก
- ขี้โม้ชอบเล่ามากเกินไป ชอบยกรายละเอียดที่ไม่ค่อยจะเกี่ยวมาเล่าให้ฟังมากๆ สร้างภาพให้เกิดความน่าเชื่อถือ
- ดูลูกตา คนโกหกไม่สบตา กระพริบตาถี่
- ถ้าเจอคำถามจี้ใจดำ คนโกหกจะอึดอัด หันตัว เบือนหน้าหนี .. คนพูดจริงจะรุกกลับอย่างดุเดือด ในขณะที่คนโกหกจะ จะปกป้องตัวเอง หรือ ตอบเลี่ยงๆ
- คนโกหก ชอบเอาคำพูดของคู่สนทนามาพูดซ้ำ
- พูดต่อกันยาวๆ เละเทะ ไม่เป็นประโยค ฟังไม่รู้เรื่อง นั่นแหละตอแหล
- เล่นมุขตลก หลอกลวงไปเรื่อย
เทคนิกจับคนโหก
- ระหว่างคุยด้วย ลองแกล้งทำเป็นเงียบ รอดูอาการ คนโหกจะอึดอัด
- ลองเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างรวดเร็ว คนทั่วไปจะเกิดอาการงง เหมือนเน็ตหลุด แต่จะวกกลับมาคุยเรื่องเดิม ขณะที่คนโกหก จะรู้สึกสบายใจ แล้วจะต่อเรื่องใหม่อย่างทันควัน ไม่วกกลับมาเรื่องเก่าอีก
ว่างๆ ทดลองฝึกกับนักการเมืองที่ชอบพูดออกทีวีก็ได้ ตรวจสอบง่ายด้วย คนโกหกพูดผ่านไปเป็นปีแล้วยังไม่ทำตามที่พูด ชอบหลบหน้า ไม่กล้ากลับไปเจอคนที่หลอกสัญญาเค้าไว้
อาหารช่วยแก้ง่วง
ยามบ่าย กินข้าวกิน อยากนอน ทำยังไงดี ของีบซัก 5 นาที ก็กลัวเจ้านายบ่น มาหาของกินแก้ง่วงติดไว้ที่โต๊ะทำงานกันดีกว่า ค่ะ
- ผักผลไม้อุดมวิตามินซี ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม บร็อคโคลี ช่วยต้านความเหนื่อยล้าที่มาจากความเครียดและกังวล
- ผลไม้ที่มีโครเมียม ได้แก่ แอปเปิล กล้วย มันฝรั่ง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย
- เมล็ดพืชมากคุณค่า ได้แก่ งา ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ) และจมูกข้าวสาลี ซึ่งมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ช่วยบำรุงประสาทและช่วยให้จิตใจแจ่มใส สดชื่น
- ไขมันดีๆ จากปลา เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เสริมโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า-3 ให้แก่ร่างกาย และยังช่วยทำให้สมาธิและความจดจำดีขึ้น
ลองทำตามคำแนะนำที่นำมาฝากกันนะคะ
หลากหลายคุณประโยชน์จากกะหล่ำปลีม่วง
กะหล่ำปลีม่วงที่มีสีสันสดใสชวนกิน ซึ่งมักพบบ่อยในจานสลัด หรืออาจกลายมาเป็นของประดับในอาหารจานอื่น แต่ใครจะรู้บ้างว่ากะหล่ำปลีสีสวยนี้จะมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเราเป็น อย่างมาก
เนื่องจากกะหล่ำปลีม่วงเป็นพืชที่มีใยอาหารสูงและล้วนอุดมไปด้วยสารอาหาร หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต โซเดียม และวิตามินซี นอกจากนี้การกินกะหล่ำปลีม่วงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่และโรคมะเร็งในช่องท้องได้ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกลบินซึ่งเป็นส่วน สำคัญที่ทำให้มีเม็ดเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
อย่างไรก็ตามในแต่ละวันเราไม่ควรกินกะหล่ำปลีดิบมากเกิน 1-2 กิโลกรัม เพราะถ้ามีสาร Goitrogen จากกะหล่ำปลีสะสมในร่างกายมากเกินไป อาจส่งผลให้ต่อมไทรอยด์นำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อยลง แต่สารนี้จะหายไปเมื่อกะหล่ำปลีนั้นสุกแล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
4 วิธีในการแก้ปัญหาความจำหลงๆลืมๆ
ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้นบางครั้งอาจทำให้เริ่มหลงๆลืมๆไปบ้าง ปัญหานี้บรรเทาได้ด้วยเทคนิค 4ข้อ เกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพนี้เพื่อสำหรับในวัยที่กำลังทำงานก็ดี ที่จะไม่ลืมส่งงาน ลืมนู่นลืมนี่ หรือจะเป็นวัยเรียนของน้องๆก็ได้นะคะ เวลาทำข้อสอบและต้องใช้ความจำซะส่วนใหญ่ นี่เป็นเกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพในการช่วยจำ ที่ดิฉันอยากจะเอามานำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้ลองนำเอาไปใช้ดูค่ะ เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ ^^
วิธีแรกโฟกัสสายตา โดยวิธีการคือ ให้ฝึกนั่งจ้องวัตถุ หรือ เหตุการณ์ตรงหน้า จดจำรายละเอียดให้มากที่สุด นานประมาณ 3 นาที จากนั้น ละสายตา แล้ววาดสิ่งที่เห็นบนกระดาษ เมื่อเสร็จตรวจดูว่ามีสิ่งใดตกหล่นไปหรือไม่ ฝึกสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาความจำระยะสั้น บริหารสมอง และเสริมประสิทธิภาพความจำด้านสายตา เช่น เอาสิ่งของมาซัก10ชิ้น แล้วห่อผ้าไว้ แล้วเปิดออกมาซัก10 วินาที แล้วก้อพูดหรือเขียนออกมา เป็นการฝึกความจำได้อีกวิธีนึงเลยค่ะ
วิธีที่ 2 วิธีต่อมา รับประทานอาหารที่ช่วยในเรื่องความจำ แนะนำให้เป็นอาหารที่อุดมวิตามินซี, อี และเบต้าแคโรทีน โดยเฉพาะส้ม องุ่น เบอร์รี ผักสีเขียว ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองเสื่อม ทั้งนี้ ผลวิจัยในต่างประเทศพบว่า ผู้บริโภควิตามินซีสูง มีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุดด้วยค่ะ
ตามด้วยวิธีที่ 3 การทำกิจกรรมที่ช่วยให้เรามีทักษะใหม่ๆอยู่เสมอ เช่นกิจกรรมที่ท้าทายความคิด เมื่ออายุเริ่มเข้าเลขสาม สมองจะเริ่มทำงานช้าลง ดังนั้น ควรหางานอดิเรกยามว่างที่สนุกสนานทำ เช่น เต้นแทงโก้ เรียนภาษาใหม่ ต่อจิ๊กซอว์ เกมส์ปริศนาอักษรไขว้ เล่นปิงปอง เป็นต้น ช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของสมอง และความจำได้ดี แต่อย่าพยายามไปหากิจกรรมอะไรที่ทำแล้วให้เครียดมากกว่านี้นะคะ เดี๋ยวมันจะไปกันใหญ่ค่ะ
วิธีสุดท้าย คือการนอนหลับพักผ่อนให้ เพียงพอ และกินอาหารให้ครย 5 หมู่ค่ะ เวลาในการนอนอย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้ และความจำ และทารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและสมองนะคะ ขอบคุณค่ะ
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
วิธีแรกโฟกัสสายตา โดยวิธีการคือ ให้ฝึกนั่งจ้องวัตถุ หรือ เหตุการณ์ตรงหน้า จดจำรายละเอียดให้มากที่สุด นานประมาณ 3 นาที จากนั้น ละสายตา แล้ววาดสิ่งที่เห็นบนกระดาษ เมื่อเสร็จตรวจดูว่ามีสิ่งใดตกหล่นไปหรือไม่ ฝึกสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาความจำระยะสั้น บริหารสมอง และเสริมประสิทธิภาพความจำด้านสายตา เช่น เอาสิ่งของมาซัก10ชิ้น แล้วห่อผ้าไว้ แล้วเปิดออกมาซัก10 วินาที แล้วก้อพูดหรือเขียนออกมา เป็นการฝึกความจำได้อีกวิธีนึงเลยค่ะ
วิธีที่ 2 วิธีต่อมา รับประทานอาหารที่ช่วยในเรื่องความจำ แนะนำให้เป็นอาหารที่อุดมวิตามินซี, อี และเบต้าแคโรทีน โดยเฉพาะส้ม องุ่น เบอร์รี ผักสีเขียว ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองเสื่อม ทั้งนี้ ผลวิจัยในต่างประเทศพบว่า ผู้บริโภควิตามินซีสูง มีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุดด้วยค่ะ
ตามด้วยวิธีที่ 3 การทำกิจกรรมที่ช่วยให้เรามีทักษะใหม่ๆอยู่เสมอ เช่นกิจกรรมที่ท้าทายความคิด เมื่ออายุเริ่มเข้าเลขสาม สมองจะเริ่มทำงานช้าลง ดังนั้น ควรหางานอดิเรกยามว่างที่สนุกสนานทำ เช่น เต้นแทงโก้ เรียนภาษาใหม่ ต่อจิ๊กซอว์ เกมส์ปริศนาอักษรไขว้ เล่นปิงปอง เป็นต้น ช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของสมอง และความจำได้ดี แต่อย่าพยายามไปหากิจกรรมอะไรที่ทำแล้วให้เครียดมากกว่านี้นะคะ เดี๋ยวมันจะไปกันใหญ่ค่ะ
วิธีสุดท้าย คือการนอนหลับพักผ่อนให้ เพียงพอ และกินอาหารให้ครย 5 หมู่ค่ะ เวลาในการนอนอย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้ และความจำ และทารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและสมองนะคะ ขอบคุณค่ะ
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ประวัติของคอมพิวเตอร์
ประวัติของคอมพิวเตอร์
- ค.ศ. 1941 เป็นครั้งแรกที่โลกได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถตั้งโปรแกรมได้อย่างอิสระ ผู้พัฒนาคือ Konrad Zuse และชื่อคอมพิวเตอร์คือ Z1 Computer
- ค.ศ. 1941 จอห์น อตานาซอฟฟ์ และ คลิฟฟอร์ด เบอร์รี ที่ มหาวิทยาลัยไอโอวาสเตต ได้ร่วมกันสร้าง คอมพิวเตอร์ อตานาซอฟฟ์-เบอร์รี ซึ่งสามารถประมวลผลเลขฐานสอง
- ค.ศ. 1944 John Presper Eckert และ John W. Mauchly ได้ร่วมกันสร้างอีนิแอก ซึ่งใช้หลอดสูญญากาศจำนวน 20,000 หลอด เพื่อสร้างหน่วยประมวลผล และถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยมีการประมวลผลแบบทศนิยม โดยหากต้องการตั้งโปรแกรมจะต้องต่อสายเชื่อมต่อเครื่องอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด
- ค.ศ. 1948 Frederic Williams และ Tom Kilburn สร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ หลอดรังสีคาโทด เป็นหน่วยความจำ
- ค.ศ. 1947 ถึง 1948 John Bardeen, Walter Brattain และ Wiliam Shockley สร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทราสซิสเตอร์ ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ
- ค.ศ. 1951 John Presper Eckert และ John W. Mauchly ได้พัฒนา UNIVAC Computer ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการขาย
- ค.ศ. 1953 ไอบีเอ็ม (IBM) ออกจำหน่าย EDPM เป็นครั้งแรก และเป็นก้าวแรกของไอบีเอ็มในธุรกิจคอมพิวเตอร์
- ค.ศ. 1954 John Backus และ IBM ร่วมกันสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ชื่อ FORTRAN ซึ่งเป็นภาษาระดับสูง (high level programming language) ภาษาแรกในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์
- ค.ศ. 1955 (ใช้จริง ค.ศ. 1959) สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด, ธนาคารแห่งชาติอเมริกา, และ บริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก ร่วมกันสร้าง ERMA และ MICR ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในธุรกิจธนาคาร
- ค.ศ. 1958 Jack Kilby และ Robert Noyce เป็นผู้สร้าง Integrated Circuit หรือ ชิป(Chip) เป็นครั้งแรก
- ค.ศ. 1962 สตีฟ รัสเซลล์ และ เอ็มไอที ได้พัฒนาเกมคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรกของโลกชื่อว่า “Spacewar”
- ค.ศ. 1964 Douglas Engelbart เป็นผู้ประดิษฐ์เมาส์ และ ระบบปฏิบัติการแบบวินโดวส์
- ค.ศ. 1969 เป็นปีที่กำเนิด ARPAnet ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต
- ค.ศ. 1970 อินเทล] พัฒนาหน่วยความจำชั่วคราวของคอมพิวเตอร์หรือ RAM เป็นครั้งแรก
- ค.ศ. 1971 Faggin, Hoff และ Mazor พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกให้อินเทล (Intel)
- ค.ศ. 1971 Alan Shugart และ IBM พัฒนา ฟลอปปี้ดิสก์ เป็นครั้งแรก
- ค.ศ. 1973 Robert Metcalfe และ Xerox ได้พัฒนาระบบอีเทอร์เน็ต (Ethernet) สำหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
- ค.ศ. 1974 ถึง ค.ศ. 1975 Scelbi และ Mark-8 Altair และ IBM ร่วมกันวางจำหน่ายคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้รายย่อยเป็นครั้งแรก
- ค.ศ. 1976 ถึง ค.ศ. 1977 ถือกำเนิด Apple I, II และ TRS-80 และ Commodore Pet Computers ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกๆ ของโลก
- ค.ศ. 1981 ไมโครซอฟท์ วางจำหนาย MS-DOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมที่สุดในช่วงนั้น
- ค.ศ. 1983 บริษัทแอปเปิล ออกคอมพิวเตอร์รุ่น Apple Lisa ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ใช้ระบบ GUI
- ค.ศ. 1984 บริษัทแอปเปิล วางจำหน่ายคอมพิวเตอร์รุ่น แอปเปิล แมคอินทอช ซึ่งทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์อย่างกว้างขวาง
- ค.ศ. 1985 ไมโครซอฟท์ วางจำหน่าย ไมโครซอฟท์ วินโดวส์ เป็นครั้งแรก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)