วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

วิธีจับโกหก


คนโกหกมีเยอะ ดูวิธีอ่านสีหน้าคนเพื่อตรวจจับคนโกหก


  • ยิ้มปลอม.. คนโกหกมักใช้กล้ามเนื้อบริเวณรอบปากฝืนยิ้ม
  • ยิ้มของจริงจะเห็นฟันนิดนึง ตาจะย่นหยีหน่อย บางคน มีตีนกาด้วย (ระวัง ตอแหลมืออาชีพฝืนทำตาหยีได้)
  • ดูมือ แขน คนโกหกมักจะเกร็งๆ หลบฝ่ามือ เกาจมูก ถูหลังหู เกาหัว
  • คนโกหก มักเหงื่อแตก
  • ขี้โม้ชอบเล่ามากเกินไป ชอบยกรายละเอียดที่ไม่ค่อยจะเกี่ยวมาเล่าให้ฟังมากๆ สร้างภาพให้เกิดความน่าเชื่อถือ
  • ดูลูกตา คนโกหกไม่สบตา กระพริบตาถี่
  • ถ้าเจอคำถามจี้ใจดำ คนโกหกจะอึดอัด หันตัว เบือนหน้าหนี .. คนพูดจริงจะรุกกลับอย่างดุเดือด ในขณะที่คนโกหกจะ จะปกป้องตัวเอง หรือ ตอบเลี่ยงๆ
  • คนโกหก ชอบเอาคำพูดของคู่สนทนามาพูดซ้ำ
  • พูดต่อกันยาวๆ เละเทะ ไม่เป็นประโยค ฟังไม่รู้เรื่อง นั่นแหละตอแหล
  • เล่นมุขตลก หลอกลวงไปเรื่อย
เทคนิกจับคนโหก
  1. ระหว่างคุยด้วย ลองแกล้งทำเป็นเงียบ รอดูอาการ คนโหกจะอึดอัด
  2. ลองเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างรวดเร็ว คนทั่วไปจะเกิดอาการงง เหมือนเน็ตหลุด แต่จะวกกลับมาคุยเรื่องเดิม ขณะที่คนโกหก จะรู้สึกสบายใจ แล้วจะต่อเรื่องใหม่อย่างทันควัน ไม่วกกลับมาเรื่องเก่าอีก
ว่างๆ ทดลองฝึกกับนักการเมืองที่ชอบพูดออกทีวีก็ได้ ตรวจสอบง่ายด้วย คนโกหกพูดผ่านไปเป็นปีแล้วยังไม่ทำตามที่พูด ชอบหลบหน้า ไม่กล้ากลับไปเจอคนที่หลอกสัญญาเค้าไว้

อาหารช่วยแก้ง่วง


ยามบ่าย กินข้าวกิน อยากนอน ทำยังไงดี ของีบซัก 5 นาที ก็กลัวเจ้านายบ่น มาหาของกินแก้ง่วงติดไว้ที่โต๊ะทำงานกันดีกว่า ค่ะ


  1. ผักผลไม้อุดมวิตามินซี ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม บร็อคโคลี ช่วยต้านความเหนื่อยล้าที่มาจากความเครียดและกังวล
  2. ผลไม้ที่มีโครเมียม ได้แก่ แอปเปิล กล้วย มันฝรั่ง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย
  3. เมล็ดพืชมากคุณค่า ได้แก่ งา ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ) และจมูกข้าวสาลี ซึ่งมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ช่วยบำรุงประสาทและช่วยให้จิตใจแจ่มใส สดชื่น
  4. ไขมันดีๆ จากปลา เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เสริมโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า-3 ให้แก่ร่างกาย และยังช่วยทำให้สมาธิและความจดจำดีขึ้น
ลองทำตามคำแนะนำที่นำมาฝากกันนะคะ

หลากหลายคุณประโยชน์จากกะหล่ำปลีม่วง





กะหล่ำปลีม่วงที่มีสีสันสดใสชวนกิน ซึ่งมักพบบ่อยในจานสลัด หรืออาจกลายมาเป็นของประดับในอาหารจานอื่น แต่ใครจะรู้บ้างว่ากะหล่ำปลีสีสวยนี้จะมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเราเป็น อย่างมาก 

          เนื่องจากกะหล่ำปลีม่วงเป็นพืชที่มีใยอาหารสูงและล้วนอุดมไปด้วยสารอาหาร หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต โซเดียม และวิตามินซี นอกจากนี้การกินกะหล่ำปลีม่วงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่และโรคมะเร็งในช่องท้องได้ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกลบินซึ่งเป็นส่วน สำคัญที่ทำให้มีเม็ดเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย

          อย่างไรก็ตามในแต่ละวันเราไม่ควรกินกะหล่ำปลีดิบมากเกิน 1-2 กิโลกรัม เพราะถ้ามีสาร Goitrogen จากกะหล่ำปลีสะสมในร่างกายมากเกินไป อาจส่งผลให้ต่อมไทรอยด์นำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อยลง แต่สารนี้จะหายไปเมื่อกะหล่ำปลีนั้นสุกแล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

4 วิธีในการแก้ปัญหาความจำหลงๆลืมๆ

ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้นบางครั้งอาจทำให้เริ่มหลงๆลืมๆไปบ้าง ปัญหานี้บรรเทาได้ด้วยเทคนิค 4ข้อ เกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพนี้เพื่อสำหรับในวัยที่กำลังทำงานก็ดี ที่จะไม่ลืมส่งงาน ลืมนู่นลืมนี่ หรือจะเป็นวัยเรียนของน้องๆก็ได้นะคะ เวลาทำข้อสอบและต้องใช้ความจำซะส่วนใหญ่ นี่เป็นเกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพในการช่วยจำ ที่ดิฉันอยากจะเอามานำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้ลองนำเอาไปใช้ดูค่ะ เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ ^^



วิธีแรกโฟกัสสายตา โดยวิธีการคือ ให้ฝึกนั่งจ้องวัตถุ หรือ เหตุการณ์ตรงหน้า จดจำรายละเอียดให้มากที่สุด นานประมาณ 3 นาที จากนั้น ละสายตา แล้ววาดสิ่งที่เห็นบนกระดาษ เมื่อเสร็จตรวจดูว่ามีสิ่งใดตกหล่นไปหรือไม่ ฝึกสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาความจำระยะสั้น บริหารสมอง และเสริมประสิทธิภาพความจำด้านสายตา เช่น เอาสิ่งของมาซัก10ชิ้น แล้วห่อผ้าไว้ แล้วเปิดออกมาซัก10 วินาที แล้วก้อพูดหรือเขียนออกมา เป็นการฝึกความจำได้อีกวิธีนึงเลยค่ะ

วิธีที่ 2 วิธีต่อมา รับประทานอาหารที่ช่วยในเรื่องความจำ แนะนำให้เป็นอาหารที่อุดมวิตามินซี, อี และเบต้าแคโรทีน โดยเฉพาะส้ม องุ่น เบอร์รี ผักสีเขียว ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองเสื่อม ทั้งนี้ ผลวิจัยในต่างประเทศพบว่า ผู้บริโภควิตามินซีสูง มีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุดด้วยค่ะ

ตามด้วยวิธีที่ 3 การทำกิจกรรมที่ช่วยให้เรามีทักษะใหม่ๆอยู่เสมอ เช่นกิจกรรมที่ท้าทายความคิด เมื่ออายุเริ่มเข้าเลขสาม สมองจะเริ่มทำงานช้าลง ดังนั้น ควรหางานอดิเรกยามว่างที่สนุกสนานทำ เช่น เต้นแทงโก้ เรียนภาษาใหม่ ต่อจิ๊กซอว์ เกมส์ปริศนาอักษรไขว้ เล่นปิงปอง เป็นต้น ช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของสมอง และความจำได้ดี แต่อย่าพยายามไปหากิจกรรมอะไรที่ทำแล้วให้เครียดมากกว่านี้นะคะ เดี๋ยวมันจะไปกันใหญ่ค่ะ

วิธีสุดท้าย คือการนอนหลับพักผ่อนให้ เพียงพอ และกินอาหารให้ครย 5 หมู่ค่ะ เวลาในการนอนอย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้ และความจำ และทารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและสมองนะคะ ขอบคุณค่ะ



ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ประวัติของคอมพิวเตอร์


ประวัติของคอมพิวเตอร์




ช่วงปี ค.ศ. 1930 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1940 เป็นช่วงที่โลกได้มีคอมพิวเตอร์ที่สามารถโปรแกรมได้และคำนวณผลลัพธ์ได้มีประสิทธิภาพจริง แต่เป็นการยากที่จะตัดสินได้ว่าคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกENIAC (Electronics Numerical Integrator and Computer) เกิดขึ้นในปี1946 และประดิษฐ์โดยจอห์น ดับลิว มอชลีย์ (John W. Mauchly) และ เจ เพรสเพอร์ เอคเกิรต (J. Prespern Eckert) ทำงานโดยใช้หลอดสุญญากาศจำนวน 18,000 หลอด มีน้ำหนัก 30 ตัน ใช้เนื้อที่ห้อง 15,000 ตารางฟุต เวลาทำงานต้องใช้กำลังไฟถึง 140 กิโลวัตต์ คำนวณในระบบเลขฐานสิบ

  • ค.ศ. 1941 เป็นครั้งแรกที่โลกได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถตั้งโปรแกรมได้อย่างอิสระ ผู้พัฒนาคือ Konrad Zuse และชื่อคอมพิวเตอร์คือ Z1 Computer
  • ค.ศ. 1941 จอห์น อตานาซอฟฟ์ และ คลิฟฟอร์ด เบอร์รี ที่ มหาวิทยาลัยไอโอวาสเตต ได้ร่วมกันสร้าง คอมพิวเตอร์ อตานาซอฟฟ์-เบอร์รี ซึ่งสามารถประมวลผลเลขฐานสอง
  • ค.ศ. 1944 John Presper Eckert และ John W. Mauchly ได้ร่วมกันสร้างอีนิแอก ซึ่งใช้หลอดสูญญากาศจำนวน 20,000 หลอด เพื่อสร้างหน่วยประมวลผล และถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยมีการประมวลผลแบบทศนิยม โดยหากต้องการตั้งโปรแกรมจะต้องต่อสายเชื่อมต่อเครื่องอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด
  • ค.ศ. 1948 Frederic Williams และ Tom Kilburn สร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ หลอดรังสีคาโทด เป็นหน่วยความจำ
  • ค.ศ. 1947 ถึง 1948 John Bardeen, Walter Brattain และ Wiliam Shockley สร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทราสซิสเตอร์ ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ
  • ค.ศ. 1951 John Presper Eckert และ John W. Mauchly ได้พัฒนา UNIVAC Computer ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการขาย
  • ค.ศ. 1953 ไอบีเอ็ม (IBM) ออกจำหน่าย EDPM เป็นครั้งแรก และเป็นก้าวแรกของไอบีเอ็มในธุรกิจคอมพิวเตอร์
  • ค.ศ. 1954 John Backus และ IBM ร่วมกันสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ชื่อ FORTRAN ซึ่งเป็นภาษาระดับสูง (high level programming language) ภาษาแรกในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์
  • ค.ศ. 1955 (ใช้จริง ค.ศ. 1959) สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด, ธนาคารแห่งชาติอเมริกา, และ บริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก ร่วมกันสร้าง ERMA และ MICR ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในธุรกิจธนาคาร
  • ค.ศ. 1958 Jack Kilby และ Robert Noyce เป็นผู้สร้าง Integrated Circuit หรือ ชิป(Chip) เป็นครั้งแรก
  • ค.ศ. 1962 สตีฟ รัสเซลล์ และ เอ็มไอที ได้พัฒนาเกมคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรกของโลกชื่อว่า “Spacewar”
  • ค.ศ. 1964 Douglas Engelbart เป็นผู้ประดิษฐ์เมาส์ และ ระบบปฏิบัติการแบบวินโดวส์
  • ค.ศ. 1969 เป็นปีที่กำเนิด ARPAnet ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต
  • ค.ศ. 1970 อินเทล] พัฒนาหน่วยความจำชั่วคราวของคอมพิวเตอร์หรือ RAM เป็นครั้งแรก
  • ค.ศ. 1971 Faggin, Hoff และ Mazor พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกให้อินเทล (Intel)
  • ค.ศ. 1971 Alan Shugart และ IBM พัฒนา ฟลอปปี้ดิสก์ เป็นครั้งแรก
  • ค.ศ. 1973 Robert Metcalfe และ Xerox ได้พัฒนาระบบอีเทอร์เน็ต (Ethernet) สำหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
  • ค.ศ. 1974 ถึง ค.ศ. 1975 Scelbi และ Mark-8 Altair และ IBM ร่วมกันวางจำหน่ายคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้รายย่อยเป็นครั้งแรก
  • ค.ศ. 1976 ถึง ค.ศ. 1977 ถือกำเนิด Apple I, II และ TRS-80 และ Commodore Pet Computers ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกๆ ของโลก
  • ค.ศ. 1981 ไมโครซอฟท์ วางจำหนาย MS-DOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมที่สุดในช่วงนั้น
  • ค.ศ. 1983 บริษัทแอปเปิล ออกคอมพิวเตอร์รุ่น Apple Lisa ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ใช้ระบบ GUI
  • ค.ศ. 1984 บริษัทแอปเปิล วางจำหน่ายคอมพิวเตอร์รุ่น แอปเปิล แมคอินทอช ซึ่งทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์อย่างกว้างขวาง
  • ค.ศ. 1985 ไมโครซอฟท์ วางจำหน่าย ไมโครซอฟท์ วินโดวส์ เป็นครั้งแรก

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมันสมอง 6 ข้อ


                ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมันสมอง 6 ข้อ


1. มันสมองเหนื่อยหรือเพลียกับใครไม่เป็น

คนที่ทำงานใช้ความคิดติดต่อกันนานๆจะรู้สึกมึนงง เพลีย ทำงานช้าลง
เข้าใจเอาเองว่า ใช้สมองมาก จนสมองเพลีย จึงต้องหยุดพักสมอง
เมื่อได้พักแล้วก็รู้สึกแจ่มใส ทำงานได้ดีขึ้น พวกนักวิทยาศาสตร์
ได้ทดลองเรื่องนี้ ว่าจริงไม่จริงอย่างไร ก็พบว่าไม่จริง
สมองเพลียกับใครไม่เป็น เพราะสมองไม่เหมือนกล้ามเนื้อ
ไม่ได้ทำงานอย่างกล้ามเนื้อ พลังของสมองเกิดจากไฟฟ้าเคมี (Electrochemical)
ในสมองมันจึงไม่เพลีย เช่นเดียวกับเราเปิดไฟห้าสิบแรงเทียน
เปิดไว้นานเท่าใดมันก็สว่างอยู่เท่านั้น ถ้ามันจะดับก็ดับไปเลย
อาการที่ใกล้กับความเพลียของสมอง ก็คือความเบื่อ อย่างเช่นเวลาท่องตำรายากๆ
สักเล่มหนึ่งพอดึกเข้า สักหน่อย ใจหนึ่งอยากอ่านต่อไป อีกใจหนึ่งอยากนอน
เช่นนี้ทำให้ท่านหมดความตั้งใจที่จะอ่าน
ดังนี้พอจะพูดได้ว่าสมองเพลียคือหมายความว่า
ท่านหย่อนความตั้งใจที่จะทำงาน
และไม่สามารถที่จะบังคับความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่านไปในทางอื่น

2. กำลังสมองไม่มีที่สิ้นสุด

สมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
มีหน้าที่เกี่ยวกับการจดจำการคิดและความรู้สึกต่างๆ
สมองประกอบด้วยตัวเซลล์ประมาณ 10 พันล้านตัวถึง 12 พันล้านตัว
แต่ละตัวมีเส้นใยที่เรียกว่าแอกซอน (Axon) และเดนไดรต์ (Dendrite)
สำหรับให้กระแสไฟฟ้าเคมี (Electrochemical)
แล่นผ่านถึงกันการที่เราจะคิดหรือจดจำสิ่งต่างๆนั้นเกิดจากการเชื่อมต่อของกระแส
ไฟฟ้าในสมอง คนที่ฉลาดที่สุดก็คือคนที่สามารถใช้กำลังไฟฟ้าได้เต็มที่

3. อัตราส่วนเชาวน์ (I.Q.) นั้นที่จริงไม่ใช่ของสำคัญ

นักจิตวิทยา เช่น อัลเฟรดและบิเนต์ มีวิธีการวัดความฉลาดของคน
โดยการวัดอัตราส่วนเชาวน์ หรือไอคิว แล้วกำหนดว่าคนนั้นๆมีไอคิวเท่านั้นๆ
ถ้าใครวัดแล้วได้ไอคิวต่ำกว่าร้อย ก็ออกจะเสียใจ สักหน่อย
แต่นักจิตวิทยาเขาว่าอย่าไปสนใจกับไอคิวนักเลย
เพราะการทดสอบนั้นมันไม่ค่อยแน่นัก อาจทดสอบผิดพลาดได้ง่าย
เท่าที่เขาค้นพบนั้น ว่าใครมีร่องยู่ยี่หยุกหยิกตอนกลางกระหม่อมมากๆ
มักจะฉลาดกว่าคนอื่น
แต่คนที่ธรรมชาติไม่ได้สร้างสิ่งพิเศษมาให้ จะไม่มีทางฉลาดกับเขาบ้างหรือ
นักวิทยาศาสตร์ตอบว่ามีและมีได้แน่ๆ คนที่มีไอคิวปานกลางอาจจะเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง
มีความรู้ดีได้โดยการหมั่นฝึก ตัวเซลล์ในสมองให้มันทำงาน
ไม่ปล่อยให้มันขี้เกียจอยู่เฉยๆ เขาพบว่าคนที่มีชื่อเสียงมากมายหลายคนมี
ไอคิวเท่าๆ กับคนธรรมดา อย่างเช่น จอห์น อาดัมส์, อับราฮัม ลินคอล์น, นโปเลียน,
เนลสัน เหล่านี้มีสมองธรรมดาๆ แต่ว่าเป็นคนมีลักษณะพิเศษ
คืออุตสาหะพากเพียรอย่างไม่หยุดยั้ง คนสมองดีๆถ้าไม่หมั่นใช้มันก็จะฝ่อได้

4. แก่แล้วก็เรียนได้ดีเท่าหนุ่มๆเหมือนกัน

ความเข้าใจผิดอย่างไม่เข้าท่า ก็คือว่ายิ่งแก่ตัวยิ่งเรียนไม่ได้
สมองเสื่อม ความจำไม่ดี ถ้าเป็นคนขี้เหล้าเมายาหรือมีโรคอาจเป็นได้ดังนี้
แต่คนปรกติแล้วย่อมเรียนได้ตลอดอายุ ความแก่ชราไม่เป็นอุปสรรคแก่การเรียน
การเรียนเกี่ยวกับการให้กระแสไฟฟ้าในสมองเคลื่อนไหว
ดังนั้นถ้าสมองไม่ผุพังเพราะเชื้อโรค
หรือการกระทบกระเทือนอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว อายุ 90 ปี ก็ยังเรียนได้
ที่ว่าแก่ป้ำๆเป๋อๆชื่อคนที่เคยจำได้ก็นึกไม่ออก อะไรพวกนี้
เป็นการยอมรับตัวเองทั้งสิ้น

5. กำลังสมองจะดีขึ้นถ้าได้ใช้มันอยู่เสมอ

สมองเหมือนกับกล้ามเนื้อ
ตรงที่การฝึกถ้าได้ใช้ให้ทำงานอย่าปล่อยให้มันขี้เกียจ มันจะยิ่งเก่งกล้าขึ้น
ท่านยิ่งใช้ความคิด ความคิดของท่านก็จะดีขึ้น หากท่านใช้ความจำอยู่เสมอ
ความจำของท่านก็จะดีขึ้น คือท่านจะจำอะไรได้เร็วขึ้น
มีอำนาจอย่างหนึ่งที่เราพูดถึงกันเสมอคืออำนาจใจหรือกำลังใจ
กำลังอันนี้สะสมอยู่ในสมอง
ทุกคราวที่ท่านใช้กำลังใจหรืออำนาจใจต่อสู้อุปสรรคปัญหา
หรือความยากลำบากต่างๆ
กำลังใจของท่านก็เพิ่มพูนมีกำลังแรงขึ้น

6. จิตใต้สำนึก….คลังอันน่ามหัศจรรย์

ส่วนลี้ลับและแสนจะพิศดารในตัวของเราคือจิตใต้สำนึก หรือบางทีเรียกว่า
จิตไร้สำนึก มันเป็นที่เก็บพลังพิเศษ
และความจดจำเรื่องทั้งหลายมากมายก่ายกอง
แต่มันน่าประหลาด ที่เราไม่สามารถให้มันสำแดงฤทธิ์ตามใจเราได้
มันจะแสดงพลังของมันออกมาในขณะที่มีเหตุใหญ่ฉันพลัน ทันด่วน
และแสดงออกมาโดยเราเองก็ไม่รู้ตัว
จิตแพทย์ได้เพียรใช้จิตสำนึกรักษาโรคจิต
อย่างเช่นบางคนอยู่ดีๆ กลัวและเกลียดคนหน้าดำ
เจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงเกลียดและกลัวอย่างไม่มีเหตุผล

จิตแพทย์ต้องใช้วิธีให้จิตใต้สำนึกบอกเรื่องราวแต่หนหลัง ที่ตกตะกอนลงไปอยู่ในจิตแห่งนั้น
ก็รู้ได้ว่าเมื่อตอนนั้นยังเล็กอยู่
มีคนหน้าดำคนหนึ่งได้เข้ามาปลุกปล้ำบีบคอเขาในบ้าน
แต่เขาจำเรื่องนี้ไม่ได้
เพราะมันตกไปอยู่ในจิตใต้สำนึก เมื่อเขาโตขึ้น
มันจึงแสดงอาการออกมาในลักษณะที่เขากลัวและเกลียดคนหน้าดำ
นักจิตวิทยากล่าวว่า
หากเราหัดพูดกับจิตใต้สำนึกเราก็สามารถสร้างพลังขึ้นในตัวได้
อย่างเช่นเราพูดกับจิตใต้สำนึกว่า คืนนี้เราจะตื่นตีห้า ทำใจให้แน่วแน่
เพ่งอยู่ในการตื่นเวลาตีห้า พอถึงตีห้า จิตใต้สำนึกก็จะปลุกเราเอง
ถ้าเราเป็นคนขลาดขี้อาย เราพยายามพูดกับจิตใต้สำนึกว่าเราจะไม่ขลาด
เราจะไม่ขี้อาย ความขลาด ความขี้อายก็จะหายไปเอง

ขอขอบคุณสาระดีๆจาก http://www.yehyeh.com/

ที่มา : *_* NONGSAWNUY *_* 

ที่มาของกระดาษ





กระดาษ เป็นวัสดุที่ผลิตขึ้นมาสำหรับการจดบันทึก มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เชื่อกันว่ามีการใช้กระดาษครั้งแรกๆ โดยชาวอียิปต์โบราณ และชาวจีนตั้งแต่สมัยโบราณ แต่กระดาษในยุคแรกๆ ล้วนผลิตขึ้นเพื่อการจดบันทึกด้วยกันทั้งสิ้น จึงกล่าวได้ว่าระบบการเขียน คือแรงผลักดันให้เกิดการผลิตกระดาษขึ้นในโลก ปัจจุบันกระดาษไม่ได้มีประโยชน์ในการใช้จดบันทึกตัวหนังสือ หรือข้อความ เท่านั้น ยังใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้มากมาย เช่น กระดาษชำระ กระดาษห่อของขวัญ กระดาษลูกฟูกสำหรับทำกล่อง ฯลฯ

กระดาษของชาวอียิปต์โบราณ ผลิตจากกกชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า พาไพรัส (papyrus) และเรียกว่ากระดาษพาไพรัส พบว่ามีการใช้จารึกบทสวดและคำสาบาน บรรจุไว้ในพีระมิดของอียิปต์ นักประวัติศาสตร์เชื่อว่ามีการใช้กระดาษที่ทำจากพาไพรัสมาตั้งแต่ปฐมราชวงศ์ของอียิปต์ (ราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาล)

สำหรับวัสดุใช้เขียนนั้น ในสมัยโบราณมีด้วยกันหลายอย่าง เช่น แผ่นโลหะ หิน ใบลาน เปลือกไม้ ผ้าไหม ฯลฯ ผู้คนสมัยโบราณคงจะใช้วัสดุต่างๆ หลากหลายเพื่อการบันทึก ครั้นเมื่อราว ค.ศ. 105 ชาวจีนได้ประดิษฐ์กระดาษจากเศษผ้าฝ้าย และหลังจากนั้นได้มีการใช้วิธีผลิตกระดาษเช่นนี้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว

ประวัติการใช้กระดาษในสยามไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน แต่วัสดุที่มีลักษณะอย่างกระดาษนั้น เรามีกระดาษที่เรียกว่า สมุดไทย ผลิตจากเยื่อไม้ทุบละเอียด ต้มจนเปื่อย ใส่แป้งเพื่อให้เนื้อกระดาษเหนียว แล้วนำไปกรองในกระบะเล็กๆ ทิ้งไว้จนแห้ง แล้วลอกออกมาเป็นแผ่น พับทบไปมาจนตลอดความยาว จึงได้เป็นเล่มสมุด เรียกว่า สมุดไทยขาว หากต้องการ สมุดไทยดำ ก็จะผสมผงถ่านในขั้นตอนการผลิต

ในทางภาคเหนือของไทย มีการผลิตกระดาษด้วยวิธีการคล้ายคลึงกัน เรียกว่า กระดาษสา เมื่อนำมาทำเป็นสมุดใช้เขียน เรียกว่า ปั๊บสา

คำว่า กระดาษ ในภาษาไทยไม่ปรากฏที่มาอย่างแน่ชัด มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะทับศัพท์มาจากภาษาโปรตุเกสว่า kratus แต่ความจริงแล้ว คำว่ากระดาษ ในภาษาโปรตุเกส ใช้ว่า papel ส่วนที่ใกล้เคียงภาษาไทยมากที่สุด น่าจะเป็นคำศัพท์ในภาษามลายู คือ kertas หมายถึง กระดาษ เช่นกัน

การใช้กระดาษในปัจจุบัน เนื่องจากกระดาษเป็นวัสดุสิ้นเปลือง จึงมีการนำกระดาษกลับมาใช้อีก เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์นำมาพับถุงกระดาษ กระดาษสำหรับเขียนแม้ใช้แล้วทั้งสองหน้า ก็สามารถนำไปพิมพ์อักษรเบรลล์สำหรับคนตาบอดได้ เมื่อหมดสภาพแล้ว ก็นำไปเข้าโรงงานแปรรูปเป็นสินค้าประเภทลังกระดาษ ได้อีก



ที่มา : wikipedia.org

ประวัติความเป็นมาของ ยางลบ






             ยางลบ (อเมริกัน: eraser บริติช: rubber) คือเครื่องเขียนชนิดหนึ่ง ใช้สำหรับลบรอยดินสอหรือปากกาที่เขียนบนวัสดุอย่างหนึ่งเช่นกระดาษ โดยใช้ยางลบถูไปมาจนรอยเขียนหายไป และดินสอส่วนมากมักจะมียางลบติดมาด้วยเพื่อใช้ควบคู่กัน ยางลบนั้นทำมาจากยางเป็นหลัก แต่สำหรับยางลบที่ใช้งานเฉพาะทางก็อาจผลิตด้วยไวนิล พลาสติก หรือยางธรรมชาติอื่นๆ ก็ได้ ส่วนมากจะพบเป็นสีขาว แต่ก็สามารถผลิตให้เป็นสีอื่นๆ ได้แล้วแต่ส่วนผสมของวัสดุ

ประวัติ



          ผู้คนในสมัยก่อนที่จะมียางลบ พวกเขาใช้ขนมปังสีขาวที่ไม่มีขอบเพื่อลบรอยดินสอแกรไฟต์และถ่านหิน ซึ่งวิธีนี้บางครั้งยังมีการใช้อยู่โดยศิลปินสมัยใหม่

          ในปี ค.ศ. 1770 วิศวกรชาวอังกฤษชื่อ เอดเวิร์ด แนร์น (Edward Nairne) ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้คิดค้นยางลบที่ทำจากยางเป็นคนแรก เหตุที่แนร์นค้นพบยางลบคือเขาไปหยิบก้อนยางแทนที่จะเป็นขนมปังมาถูรอยดินสอโดยไม่ได้ตั้งใจ และค้นพบคุณสมบัติในการลบของยาง จากนั้นจึงเริ่มผลิตยางลบออกขาย และมีการรายงานว่ายางลบของเขามีราคา 3 ชิลลิงต่อครึ่งลูกบาศก์นิ้ว ซึ่งแพงมากในสมัยนั้น
          อย่างไรก็ตาม ยางลบก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสะดวกสบายไปมากกว่าขนมปัง เนื่องจากยางลบในขณะนั้นสามารถเน่าเสียและย่อยสลายได้เหมือนขนมปัง ต่อมาในปี ค.ศ. 1839 ชาร์ลส กูดเยียร์ (Charles Goodyear) ค้นพบกระบวนการวัลคาไนเซชัน (vulcanization) ซึ่งเป็นวิธีการรักษายางและทำให้เป็นวัสดุที่คงทนถาวร ยางลบที่ทำจากยางวัลคาไนซ์จึงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน

          เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1858 ไฮเมน ลิปแมน (Hymen Lipman) จากฟิลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา จดสิทธิบัตรในการติดยางลบเข้ากับปลายดินสออีกข้างหนึ่งเป็นครั้งแรก แต่ในภายหลังถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นเพียงการนำอุปกรณ์สองชนิดประกอบเข้าด้วยกัน มากกว่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่
ขอบคุณที่มา : wikipedia.org

ใช้กระดาษทิชชู...ให้ถูกงาน หนี จุลินทรีย์ ตัวร้าย




ใช้กระดาษทิชชู...ให้ถูกงาน หนี จุลินทรีย์ ตัวร้าย (ประชาชาติธุรกิจ)
ที่มา : นิตยสารฉลาดซื้อ

          "กระดาษทิชชู"มีหลายประเภท ควรใช้ให้ถูกงาน ถูกหน้าที่ "กระดาษชำระ" ซึ่งเป็นที่นิยมเพราะราคาถูก ควรนำไปใช้บนโต๊ะอาหารหรือไม่ และทำไม พบคำตอบได้ที่นี่

          ถ้าพูดถึง "ทิชชู" (Tissue) หรือกระดาษทิชชู่ ส่วนใหญ่เรามักเหมารวมว่า หมายถึง "กระดาษสีขาว เนื้อบางเบา" ที่มีคุณสมบัติซึมซับน้ำได้ดี เป็นสินค้าจำเป็นประจำครัวเรือน สำนักงาน ร้านอาหารหรือเกือบในทุกสถานที่ทุกแห่งที่มีคนอยู่ก็ว่าได้ "ทิชชู" มักถูกนึกถึงในเวลาฉุกเฉิน เอาไว้เช็ดทำความสะอาด อย่างไรก็ตาม กระดาษทิชชู่มีอยู่หลายประเภท สามารถแบ่งออกตามลักษณะการใช้งาน ได้แก่ 1.กระดาษชำระ (Toilet tissue) 2.กระดาษเช็ดหน้า (Facial tissue) 3.กระดาษเช็ดปาก (Paper Napkin) 4.กระดาษเช็ดมือ (Paper Hand towel) และ 5.กระดาษเอนกประสงค์

          แต่ดูเหมือนว่าคนไทยอย่างเรา ๆ จะใช้ทิชชูโดยไม่ได้คำถึงถึงประเภทของทิชชู เรามักเห็นกระดาษชำระวางอยู่บนโต๊ะอาหาร หรือถูกนำไปเช็ดหน้าเช็ดตา หรือแม้กระทั่งเอาไว้ห่อหรือวางรองอาหารด้วยซ้ำ โดยที่ไม่คิดรังเกียจใด ๆ ทั้งที่ "กระดาษชำระ" นั้นคือกระดาษเหมาะสำหรับทำความสะอาดหลังขับถ่าย เป็นกระดาษย่น นุ่ม ดูดซึมน้ำได้ดีและยุ่ยง่ายเมื่อถูกน้ำ (มอก.214/2530)

          ด้วยความที่เราใช้กระดาษชำระ ชำระกันไปเสียแทบทุกอย่าง จึงมีข้อสงสัยว่ากระดาษชำระดังกล่าวมีความสะอาดและปลอดภัยมากแค่ไหน ทั้งนี้ หลังจากพลิกอ่านคู่มือมาตรฐานอุตสาหกรรมกระดาษทิชชู พบว่า ตามมาตรฐานของกระดาษชำระ จะเน้นความสำคัญไปที่การซึมซับน้ำ การย่อยสลาย ขนาดและจุดสกปรก ซึ่งเมื่อดูจากตาเปล่า เราไม่สามารถเห็นสิ่งปกติใด ๆ แต่ความจริงแล้ว มันมีสิ่งแปลกปลอมใด ๆ แฝงอยู่หรือไม่ ต้องตามอ่านกันต่อไป

          เราได้ส่งตัวอย่างกระดาษชำระ ทั้งแบบเกรดเอและบี 24 ตัวอย่างไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติกลางประเทศไทย จำกัด เพื่อทดสอบหาปริมาณจุลินทรีย์ชนิดก่อโรค ได้แก่ Bacillus cereus, Staphylococcous, Escherichis coli, Salmonella, Yeast and mold และ Total Plate Count ผลการทดสอบพบว่า ทุกยี่ห้อมีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในปริมาณน้อยมาก ไม่ก่อให้เกิดโรค 

          อย่างไรก็ตาม ยังถือว่าไม่ปลอดจุลินทรีย์ ดังนั้น จึงควรใช้กระดาษชำระให้ถูกกับงาน การนำไปใช้ผิดงานอาจก่อให้จุลินทรีย์ปนเปื้อน และหากทิ้งไว้เป็นเวลานาน เมื่อสิ่งที่ถูกเช็ดมีสภาวะเหมาะสมต่อการเติบโตของจุลินทรีย์ จุลินทรีย์จะสามารถขยายตัวได้ จนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้

ที่มาของกระดาษทิชชู

          หลายคนอาจสงสัยถึงที่มาที่ไปของกระดาษชำระ เราจึงสืบประวัติของมันย้อนไปถึงราวศตวรรษที่ 14 พบว่ากระดาษชำระเริ่มมีความนิยมใช้กันในราชสำนักจีน ขณะที่คนธรรมดาทั่วไปยังใช้สิ่งของมาเช็ดก้นกันตามสะดวก เช่น ใบไม้ เศษผ้า ต่อมาในยุคหลัง ๆ ก็หันมานิยมใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ใบปลิวต่าง ๆ มาเช็ดแทน

          กระทั่งนักธุรกิจอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อว่า "โจเซฟ กาเย็ตตี้" เป็นคนแรกที่ผลิตกระดาษชำระออกวางขายในปี ค.ศ.1857 แต่ต้องประสบกับภาวะขาดทุน เนื่องจากตลาดยังนิยมใช้ของเช็ดแบบเดิมมากกว่า แถมยังไม่ต้องเสียเงินซื้ออีกด้วย จากนั้นอีก 20 ปีต่อมา 2 พี่น้องสกุล "สก๊อต" ได้ผลิตกระดาษชำระออกขายอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้ชื่อว่า "สก๊อตทิชชู"

          ในขณะนั้นส้วม และชักโครกภายในอาคารเริ่มเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ทำให้คนหันมาใช้กระดาษชำระมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นเพราะกระดาษชำระใช้ได้สะดวก มีเนื้อนุ่มและเข้ากับการตกแต่งห้องน้ำ จากนั้นเป็นต้นมาตลาดกระดาษชำระก็โตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับวิวัฒนาการที่พัฒนาขึ้น จนปัจจุบันกลายเป็นเพียงสินค้าที่ใคร ๆ ก็สามารถหาซื้อได้ (ข้อมูลจากหนังสือ 108 ซองคำถาม)

เคล็ดลับเช็ดกระจกให้สะอาด




ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อาจทำให้กระจกสกปรกได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเคล็ดลับการเช็ดกระจกให้สะอาดมาฝากกัน..
- แอมโมเนียหรือเรียกอีกอย่างว่า "เยี่ยวอูฐ" หยดลง 2-3 หยด ผสมกับในน้ำครึ่งถัง ใช้ล้างกระจกเงาและกระจกหน้าต่าง จะเป็นเงางามไม่สกปรกง่าย

- นำเกลือผสมกับน้ำ คนให้ละลาย ใช้ล้างสิ่งสกปรกเปรอะเปื้อนจากกระจกได้ง่าย

- โซดาที่ใช้ทำขนม (โซดาไบคาร์บอเนต) สามารถนำมาทำความสะอาดกระจกได้ จะช่วยให้กระจกดูใสมากขึ้น

- แอลกอฮอล์ผสมกับน้ำอย่างละเท่า ๆ กัน ราดบนแผ่นหนังสือพิมพ์ ใช้ขัดกระจกเป็นเงางาม

- นำกระดาษหนังสือพิมพ์ขยุ่มชุบน้ำเช็ดกระจก จะใสสะอาดกว่าใช้สบู่หรือผงซักฟอก และใช้แทนน้ำยาเช็ดกระจกได้ และเวลาทำความสะอาดหน้าต่างให้เช็ดสลับกัน ด้านหนึ่งใช้เช็ดตามขวางของแผ่นกระจก อีกด้านหนึ่งเช็ดตามยาวจะเห็นรอยสกปรกได้ชัดกว่าเช็ดไปตามทางเดียวกัน

- กลีเซอรีน ใช้ถูกระจกให้ทั่ว ป้องกันกระจกเปียกชื้น หรือน้ำค้างเกาะกระจกเป็นฝ้า

- สารส้มผสมเบียร์ ใช้ทากระจกที่มัวเป็นฝ้าแล้วใช้ผ้าขัด กระจกจะใสแวววาว

- ดีเกลือผสมเบียร์ ใช้เช็ดกระจกกันฝ้าขุ่นมัว

- แอมโมเนียกับน้ำส้มสายชูผสมกัน ใช้เช็ดกระจกให้ใสสะอาด หมดคราบมัน

- วิธีเช็ดยางขอบเทปที่ติดกระจกให้ออก ให้ใช้น้ำมันเบนซินหรือทินเนอร์ชุบสำลีเช็ดกระจก

ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้ เพราะได้มีกระจกที่สะอาดปราศจากสิ่งสกปรก.

ที่มา :dailynews.co.t

เทคนิคการดูแลกระจกรถ



 วันนี้ทางเราก็มีเรื่องน่ารู้และถือว่าเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ทางเราได้นำเอามาฝากสำหรับคนรักรถนั่นเองค่ะ ซึ่งสิ่งที่ทางเรานำเอามาฝากนี้นั่นก็คือ การดูแลรักษากระจกรถนั่นเองค่ะ โดยเฉพาะสำหรับวิธีในการเช็ดกระจกรถนั้นก็นับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งเลยทีเดียว แต่จะมีวิธีการดูแลอย่างไรบ้างนั้นลองมาดูกันเลยดีกว่าค่ะ
การเช็ดกระจกรถ
ซึ่งก็ควรที่จะต้องใช้น้ำยาทำความสะอาดกระจกและใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ในการเช็ดกระจกใช่ไหมค่ะ และถ้าหากว่าคุณไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งคุณเองก็สามารถที่จะใช้แอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดแทนน้ำยาเช็ดกระจกได้นั่นเองค่ะ นอกจากนี้ยังจะช่วยทำให้คุณเองประหยัดค่าใช้จ่ายและไม่ต้องออกไปหาซื้อให้เสียเวลาอีกด้วยนั่นเองค่ะ
ปัญหาฝ้ากระจก
ซึ่งฝ้ากระจกที่ว่านี้ก็สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ในฤดูฝน และฤดูหนาวนั่นเองค่ะ ซึ่งก็อาจจะเกิดเป็นรอยฝ้าและทำให้การมองเห็นของคุณนั้นลดน้อยลง ทางที่ดีก็ควรที่จะนำเอาอุปกรณ์ในการทำความสะอาดกระจกติดรถไปด้วยเพื่อง่ายต่อการทำความสะอาดนั่นเองค่ะ
ทั้งนี้ การทำความสะอาดกระจกรถของคุณนั้นก็จะไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไปนั่นเองค่ะ ทางที่ดีถ้าหากว่าจะทำความสะอาดกระจกหรือจะเช็ดกระจกรถนั้นก็ควรที่จะปัดฝุ่นหรือกำจัดเศษดิน หรือฝุ่นออกให้หมดเสียก่อนนะคะ เพื่อที่จะทำให้การทำความสะอาดกระจกรถของคุณนั้นมีการทำความสะอาดที่ง่ายมากยิ่งขึ้นและไม่ก่อให้เกิดรอยขีดช่วนที่กระจกนั่นเองค่ะ

ที่มา krabork.com

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

คนที่ไม่ควรดื่มชา






                  สำหรับคนที่มีปัญหา ทางด้านกระเพาะอาหาร รวมถึงเรื่องของลำไส้ด้วย เนื่องจากว่า มันจะส่งผลกระทบต่อ สมรรถภาพทางด้าน กระเพาะอาหาร รวมถึงลำไส้ด้วย ซึ่งก็จะเป็นสาเหตุ ทำให้ร่างกายของเรา ไม่สามารถที่จะดูดซับ เอาวิตามินB2 รวมถึงพวกธาตุเหล็ก ได้อย่างเต็มที่ด้วย
สำหรับเด็ก ที่มีอายุต่ำกว่า3ปี ไม่เหมาะที่จะดื่มชา เนื่องจากว่า กรดแทนนิค ที่อยู่ในน้ำชานั้น ถ้าเกิดว่ามันรวมตัวกัน กับธาตุเหล็ก ที่อยู่ในกระเพาะอาหาร เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับชา รวมถึงลำไส้ มันก็จะเปลี่ยน เป็นสารซึ่งไม่สามารถ ที่จะละลายมันได้เช่นกัน ส่งผลให้เด็กเล็กนั้น ไม่มีการเจริญเติบโต
สำหรับคนป่วย ที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่เหมาะที่จะดื่มชา เนื่องจากว่า ด่างที่อยู่ในน้ำชานั้น ก็สามารถที่จะทำให้ ความดันโลหิตสูงขึ้นได้ และก็ยังทำให้หัวใจ มีการเต้นเร็วกว่าปกติอีกด้วยขึ้น ทั้งนี้กรดแทนนิค ที่อยู่ในน้ำชาก็ยังสามารถ ส่งผลให้ร่างกาย ได้มีการขับเหงื่อ ออกมาได้น้อยมากด้วย
สำหรับคนที่ไตนั้น มีการทำงานที่บกพร่อง รวมทั้งมีอาการไตวาย คุณไม่เหมาะที่จะดื่มน้ำชา สำหรับคนที่มีอาการไตวาย คุณก็ควรที่จะต้องดูแลเป็นพิเศษ
สำหรับคนที่ กำลังกินยาคุมกำเนิดอยู่ คุณไม่เหมาะที่จะดื่มชา เนื่องจากว่า กรดแทนนิค ที่อยู่ในน้ำชานั้น จะไปทำให้คุณภาพ ของยาคุมกำเนิดนั้น ลดลงได้
สำหรับผู้หญิง ที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน หรือว่าอยู่ในระยะ ของการตั้งครรภ์ รวมถึงผู้หญิง ที่อยู่ในระยะของการให้นมลูก เนื่องจากว่าทารก ที่ได้มีการดูดนมแม่นั้น ก็จะส่งผลกระทบ ต่อเด็กทารกได้เช่นกัน
สำหรับคนที่เป็น โรคความดันโลหิตสูง และก็โรคหัวใจ คุณไม่เหมาะที่จะดื่มชา ซึ่งมีความเข้มข้นมาก เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับชา  ไม่ควรจะดื่มชา เพราะว่าจะได้เป็นการ หลีกเลี่ยงเพื่อ ไม่ให้ร่างกายนั้น ได้มีการถูกกระตุ้นมากไป
ที่มา : icontea.com

อาจถูกหลอกจากชาผงผสมสี


                   หลาย ๆ คนก็คงจะชอบที่จะดื่มชากัน เพราะว่ามันมีประโยชน์สำหรับร่างกายคนเรา ซึ่งมันก็หาซื้อรับประทานกันได้ง่าย และก็มีวางจำหน่ายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไป แต่ทว่าเราควรจะเลือกซื้อให้ดี เพราะว่าบางทีนั้น มันอาจจะมีสิ่งแปลกปลอม เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับชา นำมาวางจำหน่ายไว้ หรือว่าอาจจะมีส่วนผสมของสี ซึ่งอาจจะมีการนำมาผสมก็ได้
สำหรับอันตราย ที่ได้มาจากการเลือกชื้อ ผลิตภัณฑ์ชาผงที่เป็นแบบสำเร็จรูป ซึ่งทางด้านคนผลิตนั้น ก็อาจจะมีการนำสีย้อมผ้า มาใช้เป็นส่วนผสม อยู่ในชาที่จะชงดื่มก็ได้ ซึ่งเราก็พบว่า มันมีการใส่สีสังเคราะห์ลงไป ซึ่งจะไม่ได้รับอนุญาต สำหรับการใส่ลงไปในอาหาร อยู่ในชาผง เพราะว่าโดยส่วนมากนั้น ก็จะพบอยู่ในชาผง ซึ่งได้มีการลักลอบ นำเอาเข้าไปในประเทศ
สำหรับอันตราย ที่มาจากสีผสมอาหาร ซึ่งก็จะพบอยู่ในชา และมันก็จะส่งผล สำหรับคนที่ได้บริโภคอยู่ 2 วิธีด้วยกัน ก็คือ
อันตรายที่เกิดจากตัวสีเอง ถ้าเกิดว่ามีการบริโภค ในจำนวนที่มาก หรือว่าบ่อยจนเกิดไป มันก็จะไปเคลือบ เยื่อบุกระเพาะอาหาร รวมถึงลำไส้ด้วย จึงทำให้น้ำย่อยอาหารนั้น ออกมาไม่ค่อยจะสะดวก เป็นสาเหตุทำให้ท้องเดิน และก็มีน้ำหนักลด รวมทั้งร่างกายอ่อนเพลียด้วย
อันตรายที่เกิดมาจากสารอื่น ซึ่งมีการปนเปื้อน จากขั้นตอนของการผลิตสี ซึ่งก็คือ มีโลหะหนัก มีตะกั่ว มีแคดเมียม มีสารหนู มีปรอท มีพลวง มีโครเมียม ฯลฯ ซึ่งสารพวกนี้ ก็จะเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกาย และก็จะก่อให้เกิด โรคโลหิตจาง เป็นเนื้องอก รวมทั้งเป็นโรคมะเร็งด้วย
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับชา เราควรจะเลือกซื้อชาผง ซึ่งจะต้องได้รับอนุญาต มาจากสำนักงาน คณะกรรมการ อาหารและยาด้วย และสำหรับฉลากนั้น ก็จะต้องมีการแสดงข้อความ ที่เป็นภาษาไทย และก็จะต้องมีเครื่องหมายอย. และก็มีการระบุเลข สารอาหาร ระบุชื่อ รวมทั้งระบุที่ตั้งของคนผลิต และก็ระบุวันเดือนปีที่ผลิต รวมทั้งวันหมดอายุด้วย

ที่มา : icontea.com

การชงชาด้วยวิธีง่าย ๆ






                               สำหรับชาใบ และก็ชาสำเร็จรูปนั้น ก็จะมีเคล็ดลับ ในการชงที่แตกต่างกันออกไป คือ สำหรับการชงชาใบ หรือว่าการชงชาจีนนั้น ก็จะมีขั้นตอน ดังนี้ต่อไปนี้
เริ่มแรกให้ทำการอุ่นกาน้ำชาก่อน ด้วยวิธีการใช้น้ำร้อนลวก ภาชนะนั้น ๆ เพราะว่าจะทำให้ กาน้ำชา และก็ถ้วยชานั้น อุ่นขึ้นมา และก็สามารถช่วย ในการฆ่าเชื้อโรค รวมทั้งช่วยดับกลิ่นต่าง ๆ ได้ด้วย
หลังจากนั้นก็ให้ใส่ใบชา เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับชา ลงไปในจำนวนที่พอดี ประมาณ 1/3 ของกาน้ำชาคะ
หลังจากนั้นก็ให้เทน้ำร้อน ลงในกาน้ำชาจนเต็ม เพราะว่าจะได้เป็นการกระตุ้นใบชา เพื่อให้คลี่ออกมา รวมถึงเป็นการล้างใบชาด้วย จากนั้นก็ให้น้ำทิ้งเลย
เสร็จแล้วก็ให้เทน้ำร้อน ที่กำลังเดือดใหม่ ๆ ลงไปในกาน้ำชา อีกรอบคะ จากนั้นก็ให้ทิ้งไว้ สัก 3 นาทีก็พอ
จากนั้นก็ให้เทน้ำชา ใส่ลงไปในถ้วยเสิร์ฟจนหมด จากนั้นก็ยกเสิร์ฟได้เลย
และถ้าเกิดว่าต้องการดื่มชาอีก ก็ให้คุณเติมน้ำเดือด ลงไปในกาน้ำชาอีกรอบ และก็ให้ทิ้งไว้สัก 3 – 4 นาที เสร็จแล้วก็ให้เทน้ำชา เสิร์ฟใหม่ได้เลย และสำหรับใบชาที่ใช้ชง ในแต่ละครั้งนั้น ก็สามารถที่จะใช้ได้เป็นจำนวน 4 – 8 ครั้ง สำหรับครั้งต่อ ๆ ไปคะ
สำหรับการชงชาถุง ก็จะมีวิธีดังนี้
สำหรับการชงในกา ก็ให้ทำการอุ่นกาน้ำชาก่อน ด้วยวิธีการเทน้ำร้อนลวก จากนั้นก็ให้ใส่ถุงชา ลงในกาตามปริมาณของคนดื่ม จากนั้นก็ให้เติมน้ำเดือดลงไป เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับชา และก็ให้ทิ้งไว้ สัก 4 นาที จากนั้นก็ให้ใส่ถ้วยเสิร์ฟ
ได้เลย
สำหรับการชงในถ้วย ด้วยวิธีการนำถุงชา ใส่ลงไปในถ้วย จากนั้นก็ให้เติมน้ำเดือดใหม่ และก็ให้ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แล้วก็นำถุงชาออกได้เลย
              ที่มา : icontea.com